บทที่ 4 แอบไปคฤหาสน์ของตระกูลจำเริญทรัพย์
สามปีต่อมา ณ สนามบินนานาชาติดอนเมือง
บริเวณด้านนอกสนามบินเนืองแน่นไปด้วยผู้คนราวกับฝูงมด ทุกคนต่างชูป้ายไฟเชียร์ดาราในมือสูงลิ่ว บนป้ายเขียนข้อความว่า "ฉันรักจินตหรา" และ "จินตหราน่ารักที่สุด"
ทันใดนั้น ฝูงชนก็เกิดความโกลาหลและพากันเบียดเสียดไปทางทิศทางหนึ่ง
"ดูนั่นเร็ว! น้องจินตหรามาแล้ว! ตัวจริงน่ารักมากเลยแก!"
"ตาโตๆ ขนตายาวงอน โอ๊ยตายแล้ว น่ารักอะไรขนาดนี้!"
"น้องจิน! มองทางนี้หน่อยลูก!"
อรวินท์ที่อุ้มจินตหราเดินออกมาจากสนามบินถึงกับทำตัวไม่ถูก เธอไม่คาดคิดเลยว่าสถานการณ์หน้าสนามบินจะเป็นเช่นนี้
เธอรีบก้มหน้าลง ดึงปีกหมวกให้ต่ำลงเพื่อปิดบังใบหน้า ด้วยความตื่นตระหนกจึงไม่ลืมที่จะเอื้อมมือไปจัดหน้ากากอนามัยของจินตหราให้เข้าที่
แต่ทว่า จินตหราตัวน้อยในอ้อมกอดกลับโบกมือทักทายฝูงชน มือน้อยๆ อวบอูมชูสองนิ้วสู้ตาย แถมยังขยิบตาให้อีกต่างหาก
การกระทำอันแสนน่าเอ็นดูนี้ตกหัวใจของทุกคนไปได้เต็มๆ
เสียงกรี๊ดดังระงมไปทั่ว "คุณพระ! น้องจินน่ารักเกินไปแล้ว! จะน่ารักให้ตายกันไปข้างเลยเหรอไง!"
"น้องจินคะ แม่รักหนูนะลูก!"
ฝูงชนเริ่มคลุ้มคลั่งและกรูเข้ามาขวางทางจนสถานการณ์เกือบจะควบคุมไม่อยู่
อรวินท์รู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าจินตหราแค่ถ่ายโฆษณาตัวเดียวจะดังเปรี้ยงปร้างขนาดนี้
จินตหราโบกมือน้อยๆ ให้พวกพี่สาวทั้งหลาย ยิ้มจนตาหยีเป็นเส้นตรง "จินมีมามี้แล้วค่ะ พี่ๆ สวยกันขนาดนี้ แถมยังดูเด็กอยู่เลย เป็นพี่สาวของจินดีกว่านะคะ"
เมื่อคนที่ชอบพูดคุยด้วยแถมยังทำตัวน่ารักตะมุตะมิขนาดนี้ เหล่าแฟนคลับก็แทบคลั่ง พากันพยักหน้าหงึกหงัก "ได้จ้ะ ได้เลย หนูจะเรียกอะไรก็ได้ทั้งนั้น หนูเป็นคนตัดสินใจเลยลูก"
เพื่อเป็นการตอบแทนความรักของทุกคน จินตหรายิ่งยิ้มกว้างอย่างมีความสุขกว่าเดิม
ผู้คนเริ่มรุมล้อมเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสนามบินต้องเข้ามาจัดระเบียบ พวกเธอถึงสามารถปลีกตัวออกมาได้อย่างปลอดภัย
เมื่อขึ้นมาบนรถ จินตหราก็ถอดหน้ากากอนามัยออก เผยให้เห็นแก้มสีชมพูระเรื่อที่ป่องเหมือนซาลาเปา
พออรวินท์ขึ้นรถมา หนูน้อยก็ทำปากยื่นปากยาวอ้อนทันที "มามี้กอดหน่อย ขอจุ๊บด้วย"
อรวินท์ถอดหน้ากากและหมวกออก เอื้อมมือไปโอบกอดลูกสาวไว้ในอ้อมอก ก้มลงหอมแก้มยุ้ยๆ ของเธอฟอดใหญ่
จินตหรายิ้มร่าเริง แขนป้อมๆ สองข้างโอบรอบคออรวินท์ แล้วจุ๊บแก้มแม่ดังจ๊วบ
"มามี้คะ เมื่อกี้หนูทำมามี้ตกใจไหมคะ?"
เธอทำท่าทางเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อย ดวงตากลมโตฉายแววห่วงใย
อรวินท์ส่ายหน้า บีบจมูกเล็กๆ ของลูกสาวอย่างหมั่นเขี้ยว "ไม่ตกใจเลยลูก มีพี่ๆ ชอบหนูเยอะขนาดนี้ มามี้ดีใจจะตายไป"
จินตหราพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่าง ใบหน้าจิ้มลิ้มเหมือนซาลาเปาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"มามี้คะ ที่นี่คือที่ที่มามี้โตมาเหรอคะ?"
เมื่อกลับมาเยือนถิ่นเก่า อรวินท์ก็จมอยู่ในห้วงความคิด แววตาไหววูบเล็กน้อยก่อนจะซ่อนความรู้สึกนั้นไว้ เธอพยักหน้าและยิ้มตอบลูก "ใช่จ้ะ"
จินตหราเกาะขอบหน้าต่างรถแล้วถามต่อ "แล้วพี่ชายอยู่ที่นี่จริงๆ เหรอคะ?"
อรวินท์เม้มริมฝีปากแน่น "อืม"
พอพูดถึง "พี่ชาย" จินตหราก็เก็บอาการดีใจไว้ไม่อยู่ มองแม่ด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง "ดีจังเลย! มามี้คะ เมื่อไหร่หนูจะได้เจอพี่ชายคะ?"
อรวินท์ช่วยทัดผมที่ปรกหน้าให้ลูกสาว "ไม่ต้องรีบร้อนนะลูก เราเพิ่งมาถึง เดี๋ยวเราไปพักผ่อนให้เรียบร้อยก่อน แล้วมามี้จะจัดการให้หนูได้เจอพี่ชาย ตกลงไหม?"
จินตหราพยักหน้าอย่างว่าง่าย มองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง ก่อนจะซุกตัวเข้าในอ้อมกอดของอรวินท์
ร่างเล็กๆ ของลูกสาวนุ่มนิ่มและหอมกรุ่น บวกกับแรงสั่นสะเทือนเบาๆ ของรถ ไม่นานเธอก็ผล็อยหลับไป
อรวินท์เอนหลังพิงเบาะรถ กระชับอ้อมกอดที่โอบจินตหราให้แน่นขึ้น
มองดูทิวทัศน์ที่คุ้นเคย ความคิดมากมายก็พรั่งพรูเข้ามา
วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก สามปีแล้ว... เธอได้กลับมาแล้ว!
การกลับมากรุงเทพฯ ครั้งนี้ นอกจากจะพาจินตหรามาถ่ายโฆษณาแล้ว เธอยังต้องมาดูลูกชายที่เธอไม่มีปัญญาปกป้องและถูกแย่งชิงไปเมื่อสามปีก่อน!
จินตหราของเธอโตขึ้นมากแล้ว ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง? จะมีความสุขดีไหม!
เจตน์เป็นพ่อแท้ๆ ของเขา คงไม่ใจร้ายกับลูกหรอก แต่รดานี่สิ...
เธอเคยพลาดท่าเสียทีให้รดามาแล้ว ย่อมรู้ดีว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนยังไง
เมื่อคิดว่าตลอดสามปีที่เธอไม่อยู่ ลูกของเธอต้องอยู่ร่วมกับคนอย่างรดา!
อรวินท์กำมือแน่น แววตาเปลี่ยนเป็นเย็นชา
...
บ้านใหม่ของอรวินท์อยู่ที่นนทบุรี ที่นี่อากาศบริสุทธิ์และการเดินทางก็สะดวกสบาย
บ้านหลังนี้พี่รมย์ชลีเป็นคนช่วยหาให้ พี่รมย์ชลีเพิ่งเข้ามาทำความสะอาดเมื่อสองวันก่อน บ้านจึงสะอาดสะอ้านน่าอยู่
เมื่ออรวินท์พาจินตหรามาถึงบ้านใหม่ พี่รมย์ชลียังเตรียมอาหารเลิศรสไว้เต็มโต๊ะ
อรวินท์ซาบซึ้งใจมาก พาจินตหราจัดการอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อยราวกับพายุลง
หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จ อรวินท์เล่นกับจินตหราสักพัก พอกล่อมลูกหลับแล้ว เธอก็แอบออกจากบ้านมาเพียงลำพัง
คืนนี้พระจันทร์สว่างไสวเป็นพิเศษ อรวินท์อาศัยแสงจันทร์เดินทางมายังคฤหาสน์ของตระกูลจำเริญทรัพย์ในนนทบุรี
วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดปีที่ 80 ของคุณย่าวรดี หน้าคฤหาสน์เต็มไปด้วยรถหรูจอดเรียงราย ญาติสนิทมิตรสหายของตระกูลจำเริญทรัพย์มารวมตัวกันอย่างคับคั่ง บรรยากาศคึกคักเป็นอย่างมาก
อรวินท์ติดสินบนผู้จัดการที่ดูแลเรื่องอาหารในงานเลี้ยง เปลี่ยนชุดเป็นพนักงานเสิร์ฟ แล้วแฝงตัวเข้าไปในบ้านเก่า
ภายในบ้านเก่าเต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่ ท่ามกลางบรรยากาศที่ครึกครื้น อรวินท์เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ดวงตาเบิกกว้างราวกับไข่ห่าน กวาดสายตามองไปทั่วไม่ยอมให้เล็ดลอดไปแม้แต่ซอกมุมเดียว!
ที่สนามหญ้านอกบ้านเก่า เด็กชายตัวน้อยสวมสูทผูกหูกระต่ายนั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในมือถือตัวต่อเลโก้ กำลังเล่นอย่างใจจดใจจ่อ
ภายใต้แสงไฟ เด็กชายก้มหน้าลง เผยให้เห็นเพียงแก้มขาวผ่องเหมือนซาลาเปา
รอบตัวเขาเหมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นอยู่ ช่วยกันเสียงอึกทึกครึกโครมภายนอกออกไปจนหมด
เมื่อดูจากการแต่งกายของเด็กชาย บวกกับพ่อบ้านและบอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้าอยู่ไม่ไกล อรวินท์แทบจะฟันธงได้ทันทีว่า เด็กคนนี้คือนายน้อยของตระกูลจำเริญทรัพย์!
ในมุมมืด อรวินท์สูดหายใจเข้าลึกๆ หลายเฮือก ถึงจะพอข่มใจไม่ให้วิ่งเข้าไปหาเขาได้
ตอนนี้ความรู้สึกของเธอสับสนปนเปไปหมด ทั้งที่รู้ว่าเด็กชายตรงหน้าคือลูกที่ไม่ได้เจอกันมาสามปี แต่เธอกลับไม่สามารถเดินเข้าไปแสดงตัวได้
น้ำตาค่อยๆ เอ่อล้นเต็มเบ้าตา อรวินท์ได้แต่ยืนมองอยู่อย่างเงียบๆ
จนกระทั่งสายลมพัดผ่าน เธอถึงนึกขึ้นได้ว่าจินตหราร้องอยากเจอพี่ชาย
เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เล็งกล้องไปที่เด็กชาย
ทันทีที่กดถ่าย เด็กชายที่กำลังเล่นเพลินๆ ก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี สบตาเข้ากับอรวินท์จังๆ
ดวงตาของเด็กคนนี้สดใสเป็นประกายราวกับทะเลดาวอันกว้างใหญ่ ใบหน้าเล็กๆ ขาวผ่องดุจหิมะ ช่างงดงามเหลือเกิน
อรวินท์เผลอยิ้มออกมาอย่างห้ามใจไม่อยู่ ส่งยิ้มอ่อนโยนให้เด็กชาย
เด็กน้อยตาเป็นประกายวาววับ เม้มริมฝีปากเล็กน้อย
อรวินท์อยากให้เวลาหยุดอยู่ที่วินาทีนี้ แต่โชคชะตากลับเล่นตลก จังหวะนั้นพ่อบ้านดันมองตามสายตาของเด็กชายมาพอดี
หางตาของอรวินท์เหลือบไปเห็นพ่อบ้าน เธอเกรงว่าจะถูกจำได้ จึงรีบหันหลังเดินหนีทันที
พ่อบ้านรู้สึกผิดสังเกตอย่างรวดเร็ว จึงรีบเดินตามมา "เธอเป็นใคร? ตอนเช็คชื่อเมื่อกี้ ฉันไม่เห็นคุ้นหน้าเธอเลย?"
อรวินท์ไม่ตอบ เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
พ่อบ้านเริ่มร้อนรน ตะโกนสั่งบอดี้การ์ดที่อยู่ไม่ไกล "มานี่! จับตัวผู้หญิงคนนั้นไว้!"
อรวินท์เริ่มตื่นตระหนก เธอจงใจเดินลัดเลาะไปในฝูงชน ถ้าจำไม่ผิด เดินทะลุห้องรับแขกไปจะเป็นสวนหลังบ้านของบ้านเก่า ที่นั่นมีกำแพงเตี้ยๆ อยู่จุดหนึ่ง แค่ปีนเบาๆ ก็ข้ามออกไปได้แล้ว
ขณะที่เธอก้มหน้าก้มตาเดินอย่างไม่คิดชีวิต จู่ๆ ก็มีคนมายืนขวางหน้า แล้วเธอก็ชนเข้ากับ "กำแพง" แข็งๆ อย่างจัง
กลิ่นกายที่คุ้นเคยลอยมาแตะจมูก ร่างกายของอรวินท์แข็งทื่อไปชั่วขณะ ก่อนจะเอนตัวไปด้านหลังโดยสัญชาตญาณ
แม้แสงไฟในสวนหลังบ้านจะสลัว แต่เธอก็เห็นใบหน้าของคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
ดวงตาคมลึก ใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลัก ยังคงสมบูรณ์แบบเหมือนเดิม
เจตน์เองก็กำลังจ้องมองเธออยู่ ทั้งสองสบตากัน อากาศรอบตัวเหมือนหยุดนิ่ง บรรยากาศเงียบสงัดจนน่ากลัว
สามปีที่ไม่ได้เจอกัน ผู้ชายตรงหน้าดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก
ความทรงจำในอดีตถาโถมเข้ามา อรวินท์นึกถึงสิ่งที่ผู้ชายคนนี้เคยทำเมื่อสามปีก่อน หัวใจก็กระตุกวูบด้วยความเจ็บปวด
เธอก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว เพื่อเว้นระยะห่างจากเจตน์
เจตน์จำเธอได้ทันทีเช่นกัน สายตาคมกริบกวาดมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า เห็นใบหน้าขาวเนียนและความสดใสของอรวินท์ ก็รู้สึกว่าเธอไม่เหมือนกับเมื่อสามปีก่อน
สายตาที่สำรวจเลื่อนต่ำลง เห็นอรวินท์สวมชุดพนักงานเสิร์ฟ น้ำเสียงของเขาก็เย็นชาขึ้นมาทันที "เธอมาทำอะไรที่นี่?"
อรวินท์คร้านจะเสวนากับเขา ตอบกลับไปอย่างรำคาญ "ยุ่งน่า"
บอดี้การ์ดข้างหลังไล่ตามมาติดๆ เธอต้องรีบหนีไปเดี๋ยวนี้
แต่เจตน์กลับคว้าแขนเธอไว้แน่น ดูท่าทางไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ "ที่นี่คือบ้านตระกูลจำเริญทรัพย์ เธอจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องยุ่งงั้นเหรอ?"
เสียงฝีเท้าของบอดี้การ์ดใกล้เข้ามาทุกที อรวินท์ร้อนรนจนทนไม่ไหว ตัดสินใจยกเข่ากระแทกเข้าที่กล่องดวงใจของเจตน์เต็มแรง
เสียงร้องอู้อี้ดังขึ้นในลำคอ โดนเข้าจุดยุทธศาสตร์เต็มเปา
เจตน์เจ็บจนหน้าเขียว เผลอปล่อยมือจากอรวินท์โดยอัตโนมัติ ภายใต้แสงไฟสลัว พอมองเห็นเหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นมาบนหน้าผากเขา
"เธอ!"
อรวินท์ก้มตัวลง แสยะยิ้มเย็นเยือก "ขอโทษทีนะคะคุณเจตน์ ใครใช้ให้คุณมาขวางทางฉันเอง!"
